วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2559

ยาธาตุบรรจบ



สวัสดีครับ วันนี้ขอนำเสนอเรื่อง  ยาธาตุบรรจบ  ซึ่งเป็นยาสมุนไพรแผนโบราณที่เป็นยาสามัญประจำบ้านอีกตัวหนึ่งที่สามารถแก้โรคท้องเสียได้  ประกอบไปด้วยขิง  โกฐเขมา  โกฐพุงปลา  โกฐเชียง  โกศสอ  เทียนดำ  เทียนขาว  เทียนสัตตบุษย์  เทียนเยาวพาณี  เทียนแดง  ลูกจันทน์  ดอกจันทน์  กานพลู  การบูร  เปลือกสมุลแว้ง  ลูกกระวาน  ลูกผักชีลา  ใบพิมเสน  รากไคร้เครือ  ดีปลี  เปราะหอม หนักสิ่งละ 4 ส่วน  โกฐก้านพร้าว หนัก 8 ส่วน  เนื้อลูกสมอไทย หนัก 16 ส่วน  มีสรรพคุณในการแก้ธาตุไม่ปกติ  ท้องเสีย  โดยใช้เปลือกแค หรือเปลือกสะเดา หรือเปลือกลูกทับทิม  ต้มกับน้ำปูนใส  และสามารถแก้ท้องขึ้น ท้องเฟ้อได้  โดยใช้กระเทียม 3 กลีบ ทุบชงน้ำร้อน หรือใช้ใบกระเพราต้มเป็นกระสาย  ถ้าหาน้ำกระสายไม่ได้ ให้ใช้น้ำสุกแทน  ยาธาตุบรรจบใช้รับประทาน วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหารเมื่อมีอาการ  ผู้ใหญ่ ครั้งละ 1 ช้อนชา หรือ 2 เม็ด (1 กรัม)   เด็ก ครั้งละ ½ ช้อนชา หรือ 1 เม็ด (500 มิลลิกรัม)  และยาตัวนี้ก็มีข้อควรระวังไว้ว่ากรณีท้องเสียให้ใช้ไม่เกิน 1 วัน  หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์

                ผู้ที่มีปัญหา ลำไส้ใหญ่ แปรปรวน ซึ่งพบบ่อย และ ไม่ปลอดภัยจากการใช้ยา ทำนองนี้  มีแพทย์คนหนึ่งชอบแนะนำคนไข้ให้ใช้ยาธาตุบรรจบ  ซึ่งเดิมที  ยาตัวนี้ก็เป็นยาสามัญประจำบ้านมานานแล้ว   และต่อมา  เดือนกันยายน2549  ได้รับการยอมรับ จาก เภสัชกรสมัยใหม่  ซึ่งหากคนรุ่นใหม่ไม่รอบรู้  ไม่ยอมรับ  ประชาชนคนไทยทั้งหลายก็จะเสียโอกาส  และต้องใช้กันข้างถนน  ไม่สามารถใช้ในโรงพยาบาลของรัฐบาลได้  และยาธาตุบรรจบยังจัดเป็นยาในบัญชียาหลักแห่งชาติอีกด้วย  แพทย์ผู้แนะนำคนนี้มีชื่อว่า วีรพัฒน์  เงาธรรมทรรศน์  เขาใช้ยานี้มาทั้งกับตัวเอง  และผู้ป่วยมาเป็นเวลาถึง 10 ปี แล้ว  และยังใช้ในโรงพยาบาลของรัฐอีกด้วย  ซึ่งเขาตัดสินใจใช้หลังจากอ่านหนังสือตำราโอสถพระนารายณ์ ฉบับ อัมรินทร์พริ้นติ้ง เล่มละ พันกว่าบาท  ก็ยิ่งมั่นใจในการใช้  เสน่ห์ของยาธาตุบรรจบนี้คือ  สามารถใช้ได้หลายกลุ่มอาการ โดยการเปลี่ยนน้ำกระสายยา  แต่ความรู้สำคัญคือ  สาเหตุของอาการ หรือโรค คืออะไร  คำตอบก็คือ  ขาดไฟธาตุ  กระทบมาจากอาการเย็นจากไอศครีม  หรือเครื่องดื่มเย็นๆ ทั้งหลาย  ซึ่งเป็นวิถีชีวิตสมัยใหม่ที่ไม่ดีนี่เอง  หากกระทบมากพอ  นานพอ  และไม่แก้ไข  ผลกระทบก็คือ  ไม่ว่าใครก็ต้องมีอาการอุจจาระธาตุไม่ปกติทั้งนั้น  แต่ที่น่าเศร้าของคนไทยคือ  หาสถานที่ผลิต  และจำหน่ายยาที่ดีที่ได้มาตรฐานลำบากมาก  ร้านยาทั่วไปไม่ค่อยมีขาย  อย่างเช่นในภาคใต้นี้  พอจะมีขายในร้านขายยาทั่วไป  คือที่ อ.ตะกั่วป่า  จ.พังงา  เป็นยาผง  ห่อกระดาษแบบยาเขียว  และที่รพ. หาดใหญ่  สั่งซื้อและผลิต  จาก รพ. ห้วยยอด  จ. ตรังองค์การเภสัชกรรมได้บอกว่า  ไม่ได้เป็นภารกิจและนโยบายในการผลิตยาจำพวกนี้สรุปว่า  ประเทศไทย มีความรู้  แต่จัดการไม่ครบวงจร  จึงเป็นอยู่อย่างที่เป็น  คือ  กินยาฝรั่ง ง่ายกว่า มีขายแพร่หลาย  เพราะยาไทยไม่ค่อยผลิต  ไม่ค่อยแนะนำให้ขาย  และไม่แนะนำประชาชนได้รู้จักใช้  ท่านผู้ฟังลองนึกดูซิครับว่า  เคยได้ยินทางโทรทัศน์หรือทางวิทยุบ้างไหมว่า ให้รู้จักและมีความฉลาดในการรับประทานยาไทยในแบบที่เรียกว่า  ยาสามัญประจำบ้าน  ซึ่งในประเทศจีน  หรือสิงคโปร์   เขาออกวิทยุ  โทรทัศน์  สอนประชาชนของเขาให้พึ่งภูมิปัญญาบรรพบุรุษ  อย่างเป็นระบบ  อย่างสม่ำเสมอ  สัปดาห์ละ หลายๆครั้ง  พวกเขาจึงพึ่งตนเองได้  อยู่ดีมีสุข  และอยู่เย็นเป็นสุขกว่าคนไทยทั้งหลาย
                นี่เป็นความคิดของแพทย์คนหนึ่งในประเทศไทย  แล้วท่านผู้ฟังละครับ  เห็นด้วยกับแพทย์คนนี้รึไม่  แต่ตัวผมเองก็รู้สึกเช่นเดียวกับคุณหมอคนนี้ครับว่า  ปัจจุบันนี้คนไทยใช้แต่ยาแผนปัจจุบันโดยที่ไม่คิดลองใช้ยาสมุนไพรบ้าง  ซึ่งยาธาตุบรรจบนี้เองก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่ดี  ตัวยาเองก็มีประโยชน์  มีฤทธิ์ในการรักษาเช่นเดียวกับยาแผนปัจจุบัน  และผลข้างเคียงของยาก็น้อยกว่าด้วย  เพราะฉะนั้นผมเองจึงอยากจะขอเชิญชวนท่านผู้ฟังทุกท่านมาสนับสนุนยาไทย  ซึ่งทางคณะเภสัชศาสตร์  มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เอง  ก็จะมีการเริ่มผลิตยาตัวนี้ในโรงงานต้นแบบในอนาคตอันใกล้นี้ครับ

อ้างอิง : http://herbal.pharmacy.psu.ac.th/index.php?option=com_content&task=view&id=63&Itemid=60 http://www.gotoknow.org/post/tag/%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%88%E0%B8%9A http://www.gotoknow.org/blogs/posts/tags/%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%88%E0%B8%9A
http://home.kku.ac.th/herbalbank/recipe/assets/images/recipe_thumbs/f28c3edfbc2d2b921c7912673a5653a3.jpg 

วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2559

ยาถ่ายและยาระบาย




วันนี้กระผมขอนำเสนอเรื่อง  ยาถ่าย  ซึ่งเป็นยาที่ทุกท่านเองก็รู้จัก  เอาไว้แก้อาการท้องผูกนั่นเอง  ท้องผูกเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้กับคนทั่วไป เป็นภาวะที่มีการถ่ายอุจจาระน้อยครั้ง และแต่ละครั้งเต็มไปด้วยความยากลำบาก อาการท้องผูกนั้นเกิดได้เนื่องจากหลาย ๆ สาเหตุเช่น การกินอาหารที่มีกากน้อย ภาวะการขาดน้ำของร่างกาย หรือมีความกดดันทางด้านจิตใจ เมื่อมีอาการท้องผูกในขั้นแรกยังไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องใช้ระบาย ควรแก้ไขด้วยวิธีอื่นเสียก่อนเช่น เปลี่ยนแปลงลักษณะอาหารที่กินเข้าไป โดยกินอาหารหรือผลไม้ที่มีกากมาก ๆ เช่น มะละกอสุก หลีกเลี่ยงอาหาร ผลไม้ และเครื่องดื่มบางชนิดที่จะทำให้ท้องผูกยิ่งขึ้น เช่นฝรั่ง น้ำชา ในกรณีที่ปฏิบัติตามแล้วอาการก็ยังไม่ดีขึ้น ถึงจะหันมาใช้ยาระบาย ซึ่งจะต้องใช้เฉพาะกรณีที่จำเป็นเท่านั้น ไม่ควรใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานเพราะถ้าใช้นานเวลาหยุดยาจะมีอาการท้องผูก นอกจากนี้อาจทำให้ลำไส้อักเสบได้

                ยาถ่ายและยาระบายที่ใช้กันอยู่ทั่วไปนั้น แบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่ม คือ  กลุ่มแรก  คือกลุ่มที่ทำให้อุจจาระเป็นก้อน  ยาระบายชนิดนี้ เป็นยาระบายที่ปลอดภัยและราคาถูก เป็นสารประกอบที่ได้จากพืช หรือสังเคราะห์จากสารเคมี เช่น รำข้าว เมธิลเซลูโล(Methylcellulose) และเม็ดแมงลัก  สารพวกนี้เมื่อกินเข้าไปพร้อมกับดื่มน้ำมากๆ จะพองตัวขึ้น  ทำให้เพิ่มปริมาณของกากอาหาร  และทำให้อุจจาระนุ่ม  สะดวกแก่การถ่าย  ยากลุ่มนี้ไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด  ออกฤทธิ์ภายใจ 12-24 ชั่วโมง  ยากลุ่มนี้มีประโยชน์สำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถกินอาหารที่มีกากมากและผู้สูงอายุ แต่ต้องดื่มน้ำตามเข้าไปมาก ๆ มิฉะนั้นอาจเกิดลำไส้อุดตันได้  เช่น  สารจำพวกเมทิลเซลลูโลส  และพวกซีลเลียม (Psyllium)    กลุ่มที่สอง  คือกลุ่มที่เพิ่มการซึมผ่านของของเหลว  ยากลุ่มนี้เป็น เกลือของแมกนีเซียม โซเดียม และโปตัสเซียม  เป็นเกลือที่ละลายน้ำได้ดี ถูกดูดซึมค่อนข้างน้อย จากทางเดินอาหาร  มีผลทำให้ลำไส้มีน้ำมากขึ้น  เกิดการเคลื่อนไหวของลำไส้ได้  ยากลุ่มนี้มักใช้เป็นยาที่ให้ก่อนหรือหลังการใช้ยาถ่ายพยาธิ  หรือใช้เป็นยาระบายหลังจากทำให้อาเจียน หรือล้างท้อง  เพื่อขจัดพิษของยาหรือสารบางอย่าง  แต่ห้ามใช้ในการขจัดพิษจากการกินกรดหรือด่างเข้าไป  และห้ามใช้ในผู้ป่วยโรคไต โรคหัวใจ  เนื่องจากปริมาณของแมกนีเซียมที่ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายจะสะสมในร่างกายได้ถ้าไตเสื่อมประสิทธิภาพ   นอกจากนี้อาจทำให้การเต้นของหัวใจผิดปกติไปด้วย  เช่น  แมกนีเซียมซัลเฟต  แมกนีเซียมซิเตรท  และแมกนีเซียมคาร์บอเนต    กลุ่มที่สาม  คือ กลุ่มที่กระตุ้นการถ่ายอุจจาระ
ยาในกลุ่มนี้ ทำให้มีการถ่ายอุจจาระโดยกระตุ้นลำไส้ใหญ่โดยตรง ให้มีการเคลื่อนไหวมากขึ้น และขัดขวางการดูดซึมน้ำและเกลือแร่จากลำไส้เข้าเซลล์บุลำไส้  ยาในกลุ่มนี้จะทำให้ไม่มีอุจจาระค้างอยู่  ต้องใช้เวลา1 - 3  วัน จึงจะถ่ายได้เป็นปกติ  ทำให้มักเข้าใจผิดว่าต้องกินยาถ่ายอีก  กลับกลายเป็นว่าต้องใช้ยานี้เป็นประจำ  ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ และไม่ควรใช้ยานี้เกินกว่าอาทิตย์ละ 1 ครั้ง  ยากลุ่มนี้เช่น ไดเฟนิลมีเธน (Diphenylmethane) และ บิซาโคดีล (Bisacodyl)    กลุ่มสุดท้าย  คือ กลุ่มที่ทำให้อุจจาระนุ่ม  ยากลุ่มนี้ทำให้อุจจาระเหลวขึ้น  โดยสะสมน้ำไว้ในลำไส้  ทำให้สะดวกต่อการถ่ายแต่ไม่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของลำไส้  ตัวอย่างของยากลุ่มนี้คือ  ไดอ๊อกทิล  โซเดียม  ซัลโฟซัคนิเนต (Dioctyl sodium sulfosuccinate)  และมินเนอรัลออย (Mineral oil)  ไดอ๊อกทิล  โซเดียม  ซัลโฟซัคนิเนต มีรสขม อาจให้พร้อมกับนมหรือน้ำผลไม้  ถ้าใช้ในขนาดสูง ๆ อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร  ขนาดของยาที่ใช้คือ ครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ ก่อนนอน ทั้งผู้ใหญ่และเด็กอายุตั้งแต่ 6 ขวบขึ้นไป  ตัวอย่างยากลุ่มนี้เช่น ด๊อกซิเนต (Doxinate)  และไดอาโลส (Dialose)
                อันนี้คือภาพรวมของยาถ่ายทั่วๆ ไปครับ  ต่อไปผมจะเสนอตัวอย่างยาถ่ายสมุนไพรให้ท่านผู้ฟังได้รับทราบกันครับ  ยาตัวนี้มีชื่อว่ายาถ่ายดีเกลือฝรั่ง  ซึ่งประกอบไปด้วย  ใบมะกา ใบมะขาม ใบส้มป่อย หญ้าไทร ใบไผ่ป่า ฝักคูณ รากขี้กาแดง รากขี้กาขาว รากตองแตก เถาวัลย์เปรียง หัวหอม ฝักส้มป่อย สมอไทย สมอดีงู หนักสิ่งละ 1 ส่วน  ขี้เหล็กทั้ง 5 หนัก 1 ส่วน  ยาดำ หนัก 4 ส่วน  ดีเกลือฝรั่ง หนัก 20 ส่วน  มีสรรพคุณในการแก้ท้องผูก  ใช้รับประทาน วันละ 1 ครั้ง ก่อนนอนครั้งละ 2- 5 เม็ด ตามธาตุหนักเบา 
                ดีเกลือฝรั่ง มีสูตรทางเคมีว่า MgSO4.7H2O  ดีเกลือชนิดที่เป็นเกลือซัลเฟตของแมกนีเซียม หรือเรียกว่า "แมกนีเซียมซัลเฟต" เรียกเป็นภาษาสามัญแบบฝรั่งว่า Epsom salts มีลักษณะเป็นผลึกสีขาวหรือใส คล้ายผงชูรส ไม่มีกลิ่น ละลายน้ำได้ รสเค็ม มีคุณสมบัติเป็นยาระบายถ่ายอุจจาระ ถ่ายพิษเสมหะและโลหิต นิยมนำเอามาใช้ในการรักษาปลา และยังมีการนำไปใช้ในการเกษตรเรื่องเอาไปช่วยรักษาดินที่ขาดแมกนีเซียม นอกจากนี้สาวๆ ยังนิยมนำไปเป็นส่วนผสมในการรักษาสิวแบบประหยัดอีกด้วย 
                               

http://variety.teenee.com/foodforbrain/img9/25206.jpg 

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2559

ยาธรณีสันฑะฆาต



ยาธรณีสันฑะฆาต
                สวัสดีครับ วันนี้ผมขอนำเสนอเรื่อง  ยาธรณีสันฑะฆาต  ซึ่งเป็นยาสมุนไพรที่เป็นยาสามัญประจำบ้านที่ประกอบไปด้วย  ลูกจันทน์  ดอกจันทน์  ลูกกระวาน กานพลู  เทียนดำ  เทียนขาว  หัวดองดึง  หัวกลอย  หัวกระดาดขาว  หัวกระดาดแดง  ลูกเร่ว ขิง  ชะเอมเทศ  รากเจตมูลเพลิงแดง  โกศกระดูก  โกศเขมา  โกฐน้ำเต้า หนักสิ่งละ 1 ส่วน  ผักแพวแดง  เนื้อลูกมะขามป้อม หนักสิ่งละ 2 ส่วน  เนื้อลูกสมอไทย  มหาหิงคุ์  การบูร หนักสิ่งละ 6 ส่วน  รงทอง (ประสะแล้ว) หนัก 4 ส่วน  ยาดำ หนัก 20 ส่วน  พริกไทยล่อน หนัก 96 ส่วน  มีสรรพคุณในการแก้กษัยเส้น  เถาดาน  ท้องผูก  ใช้รับประทาน วันละ 1 ครั้ง  ก่อนอาหารเช้าหรือก่อนนอน  ครั้งละ ½ - 1  ช้อนชา  ละลายน้ำสุก  หรือผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอน  สามารถทำได้โดยนำส่วนประกอบมาบดเป็นผง  ยาตัวนี้มีข้อควรระวังในคนเป็นไข้  หรือสตรีมีครรภ์
ยาธรณีสันฑะฆาตมีส่วนประกอบที่สำคัญคือ  พริกไทยล่อนและยาดำ  ซึ่งพริกไทยล่อนมีมากถึง 96 ส่วน  และยาดำ 20 ส่วน  พริกไทยมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า  Piper nigrum Linn. อยู่ในวงศ์  Piperraceae  พริกไทยเป็นไม้เถาเลื้อยยืนต้น ลำต้นมีข้อ  ซึ่งบริเวณข้อใหญ่กว่าลำต้นจนเห็นได้ชัดเจน ลำต้นอ่อนมีสีเขียวและจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลตามอายุที่เพิ่มขึ้น  รากของพริกไทยมีสองชนิด  คือรากหาอาหารที่อยู่ใต้ดิน กับรากที่ทำหน้าที่ยึดลำต้นกับหลัก  ซึ่งอาจจะเป็นไม้ยืนต้นอื่นหรือไม้ค้างเพื่อให้เลื้อยเติบโตต่อไปได้  ใบของพริกไทยเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับตามข้อและตามกิ่ง  ใบเป็นรูปไข่  โคนใบใหญ่  ใบกว้างประมาณ 6-10 ซ.ม. ยาว 7-14 ซ.ม. มีลักษณะคล้ายใบพลู  ผิวใบเรียบเป็นมัน  ขนาดและลักษณะของใบจะแตกต่างกันไปตามพันธุ์ ออกดอกเป็นช่อในแนวยาวตรงข้ามกับใบ  ช่อดอกแต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยประมาณ 70-85 ดอก ช่อดอกอ่อนมีสีเหลืองอมเขียว  เมื่อแก่จะมีสีเขียวและปลายช่อห้อยลง  ผลของพริกไทยมีลักษณะกลม  เรียงตัวกันเป็นพวงอัดแน่นอยู่กับแกนช่อ  มีรสเผ็ดร้อน  ผลอ่อนมีสีเขียว  ผลสุกจะมีสีส้มแดง  ผลที่นำมาใช้มีสองชนิด คือ พริกไทยดำ และพริกไทยล่อน พริกไทยดำทำได้โดย  เก็บผลที่โตเต็มที่มีสีเขียวแก่มาตากจนแห้ง  ซึ่งจะได้พริกไทยสีดำเหี่ยว  ส่วนพริกไทยล่อน  คือการเก็บผลพริกไทยที่เริ่มสุกมาแช่น้ำ  แล้วนำมานวดเพื่อลอกเปลือกออก แล้วตากแดด  จะได้ผลพริกไทยมีสีขาวเป็นเงา


พริกไทยมีสรรพคุณที่สามารถนำมาใช้เป็นยาได้หลากหลาย  เช่น  เปลือกของพริกไทยมีน้ำย่อยสำหรับย่อยไขมัน  ด้วยเหตุนี้ตำราโบราณจึงเชื่อกันว่า  พริกไทยสามารถลดความอ้วนได้  พริกไทยช่วยกระตุ้นปุ่มรับรสที่ลิ้น  เพื่อให้กระเพาะอาหารหลั่งน้ำย่อยได้มากขึ้น  พริกไทยดำมีรสเผ็ดอุ่น  เมื่อรับประทานเข้าไปจะรู้สึกอุ่นวาบที่ท้อง  ช่วยขับลม  ขับเหงื่อ  ขับปัสสาวะ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ  แก้ไข้มาลาเรีย แก้อหิวาตกโรค  ใช้ก้านพริกไทย 10 ก้าน  บดให้ละเอียดแล้วต้มกับน้ำ 8 แก้ว  ใช้เป็นยาล้างแผลที่อัณฑะ  สารพิเพอรีนในพริกไทยสามารถใช้เป็นยาฆ่าแมลง  ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อมนุษยโดยนำผลพริกไทยมาทุบให้แตกแล้วใช้โรยบริเวณตู้เสื้อผ้าหรือบริเวณที่ต้องการ  แต่ก็มีข้อควรระวังว่าผู้ป่วยเกี่ยวกับโรคตาและเจ็บคอไม่ควรรับประทานมาก  และมีข้อสังเกตอย่างหนึ่งว่า  พริกไทยดำจะมีสรรพคุณทางยามากกว่าพริกไทยล่อนโดยเฉพาะสรรพคุณที่นำมาประกอบเป็นยาอายุวัฒนะ
แต่ถ้าหากท่านได้ลองสืบค้นข้อมูลจากอินเตอร์เนต  จะพบว่าถึงพริกไทยดำนั้นจะมีสรรพคุณทางยาที่ดี  แต่ก็อาจทำให้เป็นมะเร็งได้  เพราะในพริกไทยดำนั้นมีสารที่เรียกว่า "แอลคาลอยด์ไพเพอร์ริน" ซึ่งถ้าร่างกายได้รับในปริมาณพอเหมาะก็จะไม่เป็นไร  แต่ถ้าได้รับมากเกินไป  มันจะสะสมจนกลายเป็นสารก่อมะเร็งไป  ตามปกติเราใส่พริกไทยดำในอาหารก็เพียงเพื่อแต่งรสชาติให้อร่อยลิ้นเท่านั้น  ปริมาณที่ได้รับจึงไม่มากมายอะไร  และร่างกายก็ได้รับประโยชน์จากพริกไทยดำได้เต็มที่  แต่ถ้ากินเป็นเม็ดๆ ในรูปของสารสกัด  ร่างกายจะได้รับแอลคาลอยด์ไพเพอร์รินในปริมาณที่สูงมาก  จนกลายเป็นโอกาสสำหรับมะเร็งไปเลย
จากที่ได้เล่ามาจะเห็นได้ว่าพริกไทยดำนั้นมีผลข้างเคียงที่น่ากลัว  แต่ท่านผู้ฟังไม่ต้องเป็นกังวลไป  เพราะส่วนประกอบในยาธรณีสันฑะฆาตนั้นเป็นพริกไทยล่อน หรือพริกไทยขาวนั่นเอง  และยาสันฑะฆาตก็มีประโยชน์ในด้านการแก้กษัยเส้น  เถาดาน  และแก้ท้องผูกได้อีกด้วย

อ้างอิง : http://herbal.pharmacy.psu.ac.th/index.php?option=com_content&task=view&id=60&Itemid=60 http://www.organicthailand.com/product-th-454870-1465405-%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%B3+++1%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3.html http://sites.google.com/site/krunoinetwork/phrik-thiyda-phrik-thiy-khaw

 http://thearokaya.co.th/web/wp-content/uploads/2014/07/%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%91%E0%B8%B0%E0%B8%86%E0%B8%B2%E0%B8%95.jpg



วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2559

ยาจันทน์ลีลา




                วันนี้ผมขอนำเสนอเรื่อง  ยาจันทน์ลีลา  ซึ่งเป็นยาสมุนไพรพื้นบ้านที่เป็นยาสามัญประจำบ้าน  ประกอบไปด้วยโกฐสอ  โกฐเขมา  โกฐจุฬาลำพา  จันทน์เทศ  จันทน์แดง  ลูกกระดอม  บอระเพ็ด  รากปลาไหลเผือก หนักสิ่งละ 4 ส่วน  พิมเสน หนัก 1 ส่วน  ยาตัวนี้มีสรรพคุณในการแก้ไข้  แก้ตัวร้อน  และแก้ไข้สามฤดู  ใช้รับประทานทุก 4 ชั่วโมง หรือ 1 ช้อนกาแฟได้ทุกเวลา  ใช้น้ำดอกมะลิ  หรือน้ำซาวข้าว เป็นกระสาย  ถ้าเป็นชนิดผง เด็ก 6-12 ปี ใช้ ครั้งละ ½ - 1 ช้อนกาแฟ  ส่วนผู้ใหญ่ ครั้งละ 1-2 ช้อนกาแฟ  แต่ถ้าเป็นชนิดเม็ด เด็ก 6-12 ปี ครั้งละ 1-2 เม็ด  ส่วนผู้ใหญ่ ครั้งละ 3-4 เม็ด  ยาตัวนี้ไม่แนะนำให้ใช้ยาในผู้ป่วยที่สงสัยว่าเป็นไข้เลือดออก  และห้ามใช้ยานานเกิน 3 วันในเด็ก  และ 7 วัน ในผู้ใหญ่
                ในทางการแพทย์แผนไทย เมื่อแพทย์พบผู้ป่วยที่มาด้วยอาการไข้นั้น  ก็จะตรวจวิเคราะห์ให้ละเอียดก่อนว่าเกิดจากสาเหตุใด  โดยพิจารณาจากสาเหตุการเกิดไข้ว่าไข้นั้นเกิดเพราะ ธาตุ  อุตุ  อายุ  กาล  อาหาร หรือ ภูมิประเทศเป็นสำคัญ  อาการไข้ที่เกิดจากฤดู หรือที่เรียกว่าไข้เปลี่ยนฤดูนั้น  แพทย์จะพิจารณาว่าเกิดจากสาเหตุสำคัญอะไร เช่น ตั้งแต่แรม 1 ค่ำเดือน 6 ถึง ขึ้น 15 ค่ำเดือน 10 เป็นคิมหันตฤดู  กับวสันตฤดูอยู่ด้วยกัน  ไม่ใช่ว่าฤดูฝน เพราะพระอาทิตย์โคจรเข้ามาใกล้  ถ้าเป็นไข้  จะเป็นเพราะเลือดที่เป็นสาเหตุ  ตั้งแต่แรม 1 ค่ำเดือน 10 ถึงขึ้น 15 ค่ำเดือน 2  เป็นวสันตฤดู  กับเหมันตฤดูอยู่ด้วยกัน  พระอาทิตย์โครจรออกห่าง  มีน้ำค้างเยือกเย็น  ถ้าเป็นไข้ เป็นเพราะเสมหะเป็นต้นเหตุ  และตั้งแต่แรม 1 ค่ำเดือน 2  ถึงขึ้น 15 ค่ำเดือน 6  เป็นเหมันตฤดู  กับคิมหันตฤดูอยู่ด้วยกัน  ในช่วงนี้ลมพัดจัด ถ้าเป็นไข้ก็จะเป็นเพราะลมเป็นต้นเหตุ  เมื่อแพทย์แผนไทยพบสาเหตุแล้วก็จะแนะนำคนไข้ให้ใช้ยาจันทน์ลีลา  เนื่องจากยาในสูตรตำรับนี้  สามารถครอบคลุมอาการไข้ชนิดต่างๆ  คือ  มีทั้งตัวยาตรง  ซึ่งช่วยแก้ไข้  ลดความร้อน  ตัวยาช่วยซึ่งช่วยลดอาการข้างเคียง  โรคแทรก  และโรคที่ตามมา  เช่น หวัด คัดจมูก หืดหอบ ไอ เสมหะ เป็นต้น
                เห็นไหมครับว่ายาจันทน์ลีลาเป็นยาสมุนไพรที่แพทย์แผนไทยเค้าใช้กันมาก  ซึ่งเมื่อสืบค้นข้อมูลให้ลึกเข้าไปอีกจะพบว่า  มีการวิเคราะห์ถึงสูตรตำรับไว้ด้วยครับว่า  ตัวยาตรง   จะประกอบไปด้วย  เนื้อไม้และแก่นจันทน์เทศจะมีรสขมหอมร้อน  มีสรรพคุณใช้แก้ไข้ดีเดือด ดีพลุ่ง กระสับกระส่าย  แก่นจันทน์แดงมีรสขมเย็น  สรรพคุณใช้แก้ไข้เพื่อดีพิการ  แก้ตัวร้อน ดับพิษไข้ทุกชนิด  ลูกกระดอมมีรสขม  สรรพคุณใช้ลดไข้  ทำให้โลหิตเย็น  บำรุงน้ำดี  แก้อาการคลั่งเพ้อ  บอระเพ็ดมีรสขมจัด สรรพคุณใช้แก้ไข้ทุกชนิด  แก้โลหิตเป็นพิษ  แก้ร้อนในกระหายน้ำ  รากปลาไหลเผือกมีรสขมเบื่อเมาเล็กน้อย  สรรพคุณใช้ตัดไข้ได้ทุกชนิด  ถ่ายพิษไข้   ต่อมาคือตัวยาช่วย จะประกอบไปด้วย  โกฐสอ  ซึ่งรากของไม้ขนาดเล็กจำพวกโสม  มี สรรพคุณในการแก้ไข้  แก้หืด  แก้ไอ  บำรุงหัวใจให้ชุ่มชื่น  โกฐเขมามีรสร้อน  สรรพคุณใช้แก้ไข้  แก้หวัดคัดจมูก  แก้เหงื่อออกมาก  สามารถระงับอาการหอบ  แก้ไข้รากสาดเรื้อรัง  และช่วยขับปัสสาวะได้  โกฐจุฬาลัมพามีรสขม  สรรพคุณใช้แก้ไข้เจลียงซึ่งเป็นไข้จับวันเว้นวัน หรือไข้มาลาเรีย  แก้ไข้กาฬ  จำพวก  หัด  อีสุกอีใส  อีดำอีแดง  ฝีดาษ  แก้หืด  ไอ  แก้ไข้
ตัวยาชนิดสุดท้ายคือ ตัวยาชูรสชูกลิ่น  ประกอบไปด้วยเกล็ดพิมเสน มีรสหอมเย็น  สรรพคุณ ช่วยให้ยาเดินไว  แก้ลมวิงเวียนหน้ามืด  ขับเหงื่อ  ขับเสมหะ  และบำรุงหัวใจให้ชุ่มชื่น 


                ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขประกาศรับรองยาจันทน์ลีลาไว้ในบัญชียาหลัก เพื่อใช้ในระบบบริการสาธารณสุขแผนปัจจุบันของรัฐ โดยผู้ป่วยสามารถเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้ และนับเป็นโอกาสดีที่ยาตำรับดังกล่าวได้มีการส่งเสริมให้มีการใช้มากขึ้นใน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลกว่า 300 แห่งทั่วประเทศไทย
                ความรู้เรื่องยาจันทน์ลีลานี้ได้มาจากบทความของ นพท. สมชาย อ้นทอง  ซึ่งเขาเป็นแพทย์ที่สนับสนุนให้มีการใช้ยาสมุนไพรไทยในการรักษาโรค  ซึ่งยาจันทน์ลีลาก็จะได้มีการเริ่มผลิตในโรงงานต้นแบบของคณะเภสัชศาสตร์  มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ในอนาคตอันใกล้นี้  ผมเองก็หวังว่าเมื่อท่านผู้ฟังได้รับความรู้ในวันนี้ไปแล้ว  ก็จะสนับสนุนการใช้ยาไทยซึ่งถือเป็นภูมิปัญญาอันล้ำค่าของไทยครับ  สวัสดีครับ

http://www.thaihealth.or.th/data/content/4948/cms/4948_thaihealth_9z6behpr3cda.jpg